วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงงานขาดป่วนตลาดรับสร้างบ้านขาใหญ่ยกเลิกบ้านถูกหันรับงานหลังใหญ่ 10 ล้านขึ้น


ดร.พัชรา ตัณฑยรรยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีนบุรีรับสร้างบ้าน จำกัด ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจรับสร้าง
บ้าน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากภาวะขาดแคลนแรงงานวงการรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาตั้งแต่
ต้นปีนี้ จะมีผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกสมาคม หลายรายต้องชะลอการรับงาน
เนื่องจากมีแรงงานจำกัด ขณะนี้จึงพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องปรับกลยุทธ์การรับลูกค้าใหม่ หันมาเลือกรับ
ลูกค้า ที่ต้องการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่ให้มากขึ้น

แรงงานขาด วิกฤตหนัก สำหรับบริษัทปีนี้ได้งดนำเสนอบ้านหลังเล็กราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาท และหันมาเน้น
บ้านหลังใหญ่ราคา 5-6 ล้านบาทมากขึ้น ขณะที่ปีหน้าได้วางนโยบายมุ่งพัฒนา แบบบ้านหลังใหญ่ราคาตั้งแต่ 10
ล้านบาทขึ้นไป

ดร.พัชรากล่าวว่า นโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท นำร่อง 7 จังหวัดตั้งแต่ต้นปี ไม่ได้ช่วย
ให้มีแรงงานเข้าสู่ภาคการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนใหม่ ส่งผลให้
ราคาบ้านในปีนี้ปรับขึ้นเฉลี่ย 5-8%

"ตั้งแต่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้เป็นช่วงที่มีปัญหาเรื่องแรงงานมากที่สุด เรียกว่า เข้าขั้นวิกฤตก็ว่าได้ และ
เป็นอุปสรรค สำคัญที่สุดที่ทำให้ภาพรวมของธุรกิจ ไม่เติบโตขึ้น"

งดรับสร้างบ้านต่ำ 8 ล้านนายฐกร นิติปัญญาวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมก้า กรุ๊ป จำกัด และเลขาธิการ
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ปัญหาแรงงานที่มีจำกัด ส่งผลกระทบต่อการ รับลูกค้าใหม่ตลอดทั้งปี เพราะ
สามารถ รับงานได้ไม่เกิน 15-16 หลัง ก่อนหน้านี้บริษัทจำเป็นต้องลงประกาศข้อความในเว็บไซต์บริษัท แจ้งขอ
อภัยที่ต้องยกเลิกปลูกสร้างบ้านราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาททั้งหมด ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องหันไปเน้นการ รับงาน
สร้างบ้านหลังใหญ่ ราคาเฉลี่ย 10-30 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทมียอดขายเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10-15%

ขณะที่ในปีนี้ได้ปรับราคาบ้านไปแล้ว 5-8% ปีหน้าคาดว่าจะต้องปรับราคาอีกประมาณ 5%

"ทุกบริษัทเดือดร้อนเหมือนกันหมด สำหรับไมก้าถ้าลูกค้าเซ็นสัญญาสร้างบ้านเดิมรอ 1 เดือน แต่วันนี้
ยอมรับว่าประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้าจึงจะเริ่มสร้างได้เพราะมีปัญหาจริง ๆ ขณะเดียวกันก็
พยายามรั้งแรงงานฝีมือที่เก่งไว้ อย่าง ช่างปูน เราอยากจ้างคนเดียว แต่มีภรรยาติดมาด้วย เราก็ให้เลย 2 คน 1 พัน
บาทเพื่อจูงใจ จากสมัยที่ไม่ขาดแคลนแรงงานเราจ้างคนเดียว 400 บาทก็ได้แล้ว" นายฐกรกล่าว

>>ปรับแผนอุตลุด เน้นบ้านใหญ่

นายสมพงษ์ กิติมหาคุณ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เดอะโมเดอร์นกรุ๊ป เรียลพร็อพเพอทิ จำกัด กล่าวว่า การ
ปรับตัวคือหันมาเน้นรับลูกค้าปลูกสร้างบ้านหลังใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านราคา 2-3 ล้านบาท จะงดรับงานเลย
ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยบ้านที่ รับงานจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10 ล้านบาท ปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทในเครือคือ "ทรอปิคอล ซีรีส์เฮ้าส์" ที่รับสร้างบ้านระดับกลางล่าง จากเดิมเคยรับบ้านราคา
เริ่มต้นกว่า 1-2 ล้านบาท ปีนี้หันมารับงานราคาประมาณ 3 ล้านบาทบวกลบทั้งหมด

ห่วงแรงงานคืนถิ่น นายธีระศักดิ์ บุญวาสนา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อยุธยารับสร้างบ้าน จำกัด เปิดเผยว่า
บริษัทมีแรงงานจำกัดอยู่กว่า 100 คน ทำให้ปีนี้รับงานได้จำกัดไม่เกิน 15 หลัง ทางออกคือต้องเน้นการรับงานหลัง
ใหญ่ขึ้นคือเป็นบ้านราคา 10 ล้านบาทบวกลบ จากปีที่ผ่านมาเฉลี่ยไม่เกิน 8-9 ล้านบาท

นายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เอ็มเพอร์เร่อเฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยว่า หากรัฐบาลไม่
สามารถนำเข้าแรงงานเพิ่มเติมขึ้นได้ เป็นห่วงว่าในปีหน้าปัญหาแรงงานขาดแคลนในพื้นที่กรุงเทพฯ จะรุนแรง
ขึ้นอีก เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ วิเคราะห์ว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาแรงงานคืนถิ่น
เนื่องจากอยากกลับไปทำงานที่บ้านเกิด ประกอบกับได้ค่าแรงเท่ากัน
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ วันที่: 26/11/2012 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บ้านต่ำล้านใกล้สูญพันธุ์ต้นทุนพุ่งบีบอีก3ปีสร้างไม่ไหวเตือนปีหน้าราคาบ้านขึ้นอีก 5%


นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท กล่าวว่า
ปัจจุบันบ้าน

ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วนอยู่เพียง 10% ของบ้านที่เปิดขายทั้งหมด ลดลงจาก 5 ปีที่แล้ว ที่มีสัดส่วน
อยู่ประมาณ 30% เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นทุกปี และคาดว่า ใน 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่สามารถพัฒนาบ้าน
ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทได้อีกแล้ว

"ปัจจุบันบ้านและคอนโดมิเนียมราคาต่ำที่สุดที่บริษัทเปิดขายราคาอยู่ที่ 9 แสน-1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วน
น้อยมาก เมื่อเทียบกับ5 ปีที่แล้ว ที่มีสัดส่วน 30% แต่บ้านราคาต่ำกว่า1 ล้านบาท จะยังคงมีขายอยู่อีก 2-3 ปี ซึ่งคาด
ว่าต้นทุนจะทำราคาบ้านให้ต่ำกว่า 1 ล้านบาทไม่ได้แล้ว" นายทองมา กล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดในปีหน้าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อจากการปรับค่าจ้าง จะทำให้ต้นทุนบ้านเพิ่มขึ้นอีกซึ่งจะ
ทำให้ราคาบ้านปรับขึ้นไปอีก 5% ขณะเดียวกันผู้บริโภคเองก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มที่ขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ บริษัท
จึงพยายามบริหารจัดการด้านต้นทุน เพื่อปรับราคาบ้านให้ขึ้นไม่เกิน 2-3% ให้สอดรับกับกำลังซื้อในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งคาดว่าตลาดจะ
ขยายตัวเกิน 10% เช่นเดียวกับปีนี้ที่ตลาดจะเติบโตเกิน10% โดยคอนโดมิเนียมจะยังเป็นตัวนำตลาดที่มีสัดส่วนสูง
เกินกว่า50% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า ที่คาดว่าจะโตได้ถึง 6-7% แม้ว่าจะมีปัญหา
เศรษฐกิจโลกเข้ามากระทบภาคส่งออก แต่ก็ยังขยายตัวอยู่

นายทองมา กล่าวอีกว่า ในปีนี้แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้มียอดขายสูงสุดก็ไม่เป็นไร เพราะรายได้และกำไรของ
บริษัทก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยใน 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้รวม 1.8 หมื่นล้านบาท
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ2,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.27% และคาดว่าถึง
สิ้นปีจะมีรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 2.6 หมื่นล้านบาท

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า
บริษัทมียอดขายในรอบ 9 เดือนรวมทั้งสิ้น 2 หมื่นล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่
ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะทำยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้ง
ไว้ 2.9 หมื่นล้านบาท

ด้านแผนปีหน้าจะเปิดโครงการใหม่ใกล้เคียงกับปีนี้ คือประมาณ 34 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 3.5 หมื่นล้าน
บาทมีรายได้รวม 3.4 หมื่นล้านบาท
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ วันที่: 14/11/2012


แห่ใช้เทคโนฯสร้างบ้านไว อสังหาฯหันพึ่งนวัตกรรมแก้เกมแรงงานขาด

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า
บริษัทได้มีการปรับใช้ระบบ เสา คาน และพื้นสำเร็จรูปจากโรง งานมาติดตั้งที่หน้างานแทนการก่อสร้างด้วย
แรงงานคนทั้งระบบ ในส่วนของโครงการบ้านเดี่ย วอควา ดิวิน่า บาย สัมมากร รามคำแหง 94 ระดับราคา 5-20
ล้านบาทซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ใช้ระบบการก่อ สร้างสำเร็จรูปเพื่อช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง

"การก่อสร้างด้วยระบบดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น บ้านเดี่ยวหนึ่ง
หลัง หากใช้การก่อสร้างแบบเดิมต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนถึงจะแล้วเสร็จ แต่เมื่อใช้การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป เรา
สามารถควบคุมงานให้แล้วเสร็จภายใน 5 เดือน แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะไม่ได้ลดลงมาก แต่ก็ช่วยในเรื่องของ
การส่งมอบงานให้กับลูกค้าทันเวลา ซึ่งในอนาคต สัมมากร อาจนำระบบนี้ไปใช้กับโครงการอื่นในอนาคต หาก
ปัญหาแรงงานยังรุนแรงเหมือนดังเช่นปัจจุบัน" นายกิตติพล กล่าว

     สอดรับกับนายศักดา โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า การขาดแคลนแรงงาน
ก่อสร้าง ขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาหนัก แต่ยังไม่ถึงทางตัน สำหรับบริษัทยังไม่มีนโยบายนำระบบกึ่งสำเร็จรูปมาใช้
แต่ปรับกระบวนการก่อสร้างใหม่ ลดระยะเวลา เช่น สร้างโรงงานขนาดย่อมขึ้นเอง เพื่อตัดเหล็กและส่งไปหน้า
งาน, ใช้เครื่องพ่นฉาบปูน, ใช้พื้นไม้ลามิเนตแทนไม้ปาร์เกต์, ใช้โครงหลังคาสำเร็จรูป ฯลฯ ในภาพรวมหากเป็น
บริษัทที่ปลูกสร้างบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท อาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้เสา-คานสำเร็จรูปมากขึ้น

>>SCG-HEIM ผลตอบรับดี

นายพิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และกรรมการบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย
เซลล์ จำกัด เปิดเผยว่า บ้าน SCG-HEIM ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งดีเวลอปเปอร์และลูกค้ารายย่อย หลัง
เปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2552 ปัจจุบันบริษัทได้ทุ่มงบประมาณราว 2,000 ล้านบาท ในการเตรียมขยายพื้นที่
โรงงานการผลิตเดิม ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มเป็น 200 ไร่ และใช้เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์มา
ช่วยในการผลิต ส่งผลให้โรงงานมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หลังต่อปี จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียง 200
หลังต่อปีคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเริ่มรับรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบ้าน SCG-HEIM มากขึ้น ดีเวลอป
เปอร์เองก็หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับโครงการของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน เพราะช่วยลดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่
ขั้นตอนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า ปัญหางบบานปลาย หรือปัญหาที่
เกี่ยวกับการอยู่อาศัย

สำหรับราคาบ้าน SCG-HEIM ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะผลิตบ้านที่มีราคา
4-5 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายผลิตบ้าน SCG-
HEIM เพื่อการส่งออก โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต" นายพิชิต กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบโครงการบ้านสีตวัน
ปากช่องเขาใหญ่ โครงการบ้านเดี่ยวแห่งนวัตกรรมบนพื้นที่กว่า 27 ไร่ เพื่อความเป็นอยู่ที่มั่นใจในความปลอดภัย
คงทนในทุกสภาพอากาศด้วยกระบวนการก่อสร้างที่ทันสมัยตั้งแต่ฐานรากจดหลังคา มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้าน
บาท ราคาเริ่มตั้งแต่ 11-21 ล้านบาท

>>แสนสิราชาพราคาสต์ช่วยดันยอด

รายงานข่าวจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากใช้ระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้าง
โครงการต่างๆของบริษัท ภายใต้แบรนด์ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ ส่งผลให้บริษัทสามารถเปิดตัว
โครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มจากเดิม 44 โครงการ เป็น 50 โครงการ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถ
สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท เป็น 4 หมื่นล้านบาท หากสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้ง
ใหม่ไว้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 52,000 ตร.ม. ต่อเดือนหรือประมาณ 
150 หลังต่อเดือน

ทั้งนี้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำ หนดขนาดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว
ประ หยัดเวลาและลดระยะเวลาการก่อสร้าง จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านเดียวประมาณ 6-9 เดือน
เป็น 75-80 วันเท่านั้น รวมถึงช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมีฝีมือ เนื่องจากไม่ต้องใช้การฉาบปูน ส่งผลให้ปัจจุบัน
แสนสิริใช้แรงงานต่อ 1 ไซต์งานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบเดิม ซึ่งทำให้
สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นอีกด้วย

>>ยิปซัมตราช้างจับมือดีเวลอปเปอร์

นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด
กล่าวว่า ผมได้คุยกับผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์บิ๊กเนมในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายพูดตรงกันว่าวันนี้แรงงาน
ค่อนข้างหายาก เช่น ช่างฉาบที่มีฝีมือ เราได้นำเสนอกับเจ้าของหมู่บ้าน 2-3 บริษัท ให้ใช้ยิปซัมแทนผนัง เพราะ
ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว โดยบริษัทได้ร่วมกับเจ้าของหมู่บ้านพัฒนาผนังบ้านเพื่อตอบโจทย์ปัญหาแรงงานขาดแคลน
แถมยังได้งานที่เรียบไม่มีรอยร้าว ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ผนัง
ภายในใช้ยิปซัมเกือบ 100% ไม่ต้องก่ออิฐฉาบปูนซึ่งใช้เวลาเรียงอิฐทีละก้อน และแรงงานก็หายาก
ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ 
วันที่: 11/11/2012 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พฤกษาเร่งสปีดสร้างบ้านเร็วย่นเวลาจาก 45 วันเหลือ 21 วันหลังแรงงานรับเหมาขาดหนัก


นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า ปัญหา
ขาดแคลนแรงงานภาคก่อสร้างยังคงเป็นปัญหาใหญ่กับภาคอสังหาริมทรัพย์อีกอย่างน้อย 2 ปี ทำให้ผู้ประกอบการ
จะต้องเร่งปรับตัวด้วยการนำระบบการก่อสร้างใหม่มาใช้กับการก่อสร้างบ้านให้รวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้นำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านแบบ Real Estate Manufacturing (REM) หรืออาร์อีเอ็ม เข้ามา
ใช้เพื่อควบคุมการก่อสร้างตามลำดับขั้นตอน ในระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้บ้านมีคุณภาพ และย่นระยะเวลา
ก่อสร้างลงให้เหลือเฉลี่ย 21 วัน จากก่อนหน้านี้บ้านต่อหลังใช้เวลาก่อสร้างเฉลี่ย 45 วัน

"ในอดีตบริษัทเคยใช้เวลาก่อสร้าง 6-7 เดือนต่อหลัง แต่เมื่อนำเทคโนโลยีการก่อสร้างพรีคาส์ตมาใช้
สามารถย่นเวลาก่อสร้างได้เหลือ 2 เดือน ซึ่งต่อมาก็พยายามลดเวลาก่อสร้างได้เหลือ 45 วัน จนถึงปัจจุบันใช้เวลา
ไม่เกิน 1 เดือน"นายประเสริฐ กล่าว

สำหรับเทคโนโลยีอาร์อีเอ็ม เป็นระบบที่ใช้แรงงานก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะให้
ผู้รับเหมาก่อสร้างนั้นทำงานก่อสร้างเฉพาะให้ส่วนงานที่ตนเองมีความถนัด เช่น งานปูกระเบื้องพื้นก็จะทำเฉพาะ
ปูกระเบื้อง หรืองานทางสีก็จะทำเฉพาะงานดังกล่าว ไม่ข้ามสะเปะสะปะไปงานก่อสร้างทุกประเภท ซึ่ง
กระบวนการผลิตจะเหมือนกับการผลิตรถยนต์

กระบวนการก่อสร้างนั้นจะแบ่งเวลาการก่อสร้างออกเป็น 7 ช่วงเช่น ก่อสร้างบ้าน 1 หลัง เช่น วันที่1-3 ทำ
เข็มรั้ว รากฐาน รั้วรอบบ้านเทพื้นคอนกรีต วันที่ 4-6 จะทำผนังพรีคาส์ต รั้วคอนกรีตรอบบ้าน และผนังพรีคาส์ต
ชั้น 2 เป็นต้น

การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้จะทำให้ปัญหาการแจ้งซ่อมจะน้อยลง จากที่ผ่านมาจะพบงานมีปัญหา14
จุด จะเหลือเพียง 3 จุด โดยบริษัทได้นำร่องใช้ระบบดังกล่าวเมื่อปี2554 ใน 2 โครงการ และในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะใช้
ถึง 80% ของการก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าตั้งเป้าว่าจะใช้ให้ได้ 100% โดยระบบดังกล่าวใช้เฉพาะการก่อสร้างที่อยู่อาศัย
ประเภทแนวราบเท่านั้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำไปใช้กับการก่อสร้างในโครงการที่บริษัทเปิดขายต่างประเทศอีก
ด้วย

ดังนั้น 1 ไลน์การผลิตจะใช้คนงาน 80-100 คน มีกำลังการผลิต10 หลังต่อเดือน ซึ่งจะทำให้สามารถส่งมอบ
บ้านได้เพิ่มเป็น 1.5 หมื่นหลังต่อปีจากช่วง 2 ปีก่อนที่มีการส่งมอบเพียง 1 หมื่นหลังต่อปี

นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มอัตรากำไรของบริษัทเพิ่มเป็น 18-20%จากปกติอยู่ที่ 14-15%
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ วันที่: 12/11/2012 

“พฤกษา”ชู REM สร้างบ้าน หนุนส่งมอบบ้าน 1.5 หมื่นหลัง/ปี

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า บริษัทได้มีการพัฒนา

เทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Real Estate Manufacturing (REM)  ซึ่งเป็นระบบการก่อสร้างในระบบพรีแคส 

ระบบน็อกดาวน์ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมุ่งเน้นคุณภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดเวลาการก่อสร้างจาก 3 เดือน 
เหลือเพียง 1 เดือนขณะที่พบปัญหาการแจ้งซ่อม(defect)น้อยลงจากปกติพบงาน defect 14 จุด เหลือเพียง 3 จุด

ทั้งนี้บริษัทนำระบบ REM มาใช้นำร่องเมื่อปี 2554 ใน 2-3 โครงการ และปีนี้นำมาใช้ในงานก่อสร้างบ้าน

เดี่ยวและทาวน์เฮาส์ประมาณ80% และตั้งเป้าปีหน้าเป็น 100% ระบบดังกล่าว 1 ไลน์การผลิตจะใช้คนงาน 80-100 

คน มีกำลังการผลิต 10 หลัง/เดือน สามารถสร้างบ้านได้ 3 วัน/หลัง ซึ่งจะทำให้พฤกษาสามารถส่งมอบบ้านได้เพิ่ม

เป็น 15,000 หลัง/ปี จากช่วง2 ปีก่อนที่มีการส่งมอบเพียง 10,000 หลัง/ปี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตรากำไร(มาร์จิ้น) 
ของบริษัทเพิ่มเป็น 18-20% จากปกติอยู่ที่ 14-15%

สำหรับการนำระบบการก่อสร้างแบบ REM มาใช้จะช่วยลดงาน defect  จากปกติที่อยู่ 1% ของต้นทุนการ

ก่อสร้าง จะเหลือเพียง 0.5% ของต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งจะเห็นชัดเจนในปีหน้า  โดยการก่อสร้างแบบใหม่จะช่วย

แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะพบปัญหาดังกล่าวมาก ทำให้ผู้บริโภคจะหันมาให้

ความสำคัญกับคุณภาพงานก่อสร้างมากขึ้น

ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา กล่าวว่า บริษัทได้

เปิดตัว โครงการ "พฤกษา อเวนิว"นับเป็นโครงการ flagship ของบริษัทที่พัฒนา 9 โครงการ บนทำเลเดียว 

ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว เดอะ แพลนท์, โครงการภัสสรเพรสทีจ, โครงการเดอะปาล์ม, โครงการชาเลตต์,

โครงการทาวเฮาส์  พาทิโอ, โครงการวิลเลต ซิตี้,โครงการวิลเล็ต ไลท์ ,โครงการพฤกษาวิลล์ และโครงการ

พฤกษาทาวน์ มูลค่าโครงการรวม 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำระบบ REM มาใช้ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ "พฤกษา อเว

นิว" จะเป็นฐานรายได้ของบริษัทในปี 2556-2557 ส่วนผลการดำเนินงานในปี 55 รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 

26,000 ล้านบาทส่วนยอดขายจำนวน 29,000ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน(backlog)ราว 35,000 ล้าน

บาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 2-3 ปี


ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 
วันที่: 12/11/2012

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ข่าว ; วิกฤติ ‘แรงงาน’ ป่วน อสังหาฯเลื่อนเปิดโครงการ-โอน




นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคม บ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า 

ขณะนี้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ กำลังประสบกับ ปัญหาใหญ่เรื่องแรงงานและรับเหมาก่อสร้างที่ขาดแคลนหนัก  

อยู่ใน "ขั้นวิกฤติ" โดย ผู้รับเหมาทุกรายต่างมีงานล้นมือ



จากปัญหาดังกล่าว ทำให้บริษัท ตัดสินใจเลื่อนเปิดโครงการใหม่  2 โครงการออกไปเป็นต้นปีหน้า จากเดิม

จะเปิดในช่วงไตรมาส 4  ประกอบด้วย โครงการบนถนนประชาอุทิศ 90 พื้นที่กว่า 40 ไร่ เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่า 

750 ล้านบาท และโครงการย่านลำลูกกา คลอง 3/2 พื้นที่ 48 ไร่ เป็นทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ สูง 3-4 ชั้น มูลค่า 

800 ล้านบาท



"การเลื่อนเปิดโครงการ จะดีกว่า  การเปิดโครงการในสถานการณ์ที่ไม่พร้อมทั้งเรื่องของแรงงาน และ

ผู้รับเหมา เพราะนำมาสู่ผลกระทบภาพลักษณ์ของบริษัทได้ จากการผิดสัญญากับผู้ซื้อ"



แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีหน้าปัญหา วิฤติแรงงานจะคลี่คลายลง หลังจาก ผู้ประกอบการมีการปรับตัว

ได้มากขึ้น   เชื่อว่าจะมีการนำระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้น และการนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อน

บ้านมาทดแทน



นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า 

ขณะนี้เสนาฯ ได้มีปรับวิธีการว่าจ้างผู้รับเหมาใหม่ จากเดิมใช้วิธีให้เข้ามาประมูลเสนอราคาแข่งขัน เปลี่ยนมาเป็น 

"การเจรจาเรื่องราคาโดยตรง" โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ที่วางแผน จะเปิดตัวต้นปีหน้า 3 โครงการ



"ผู้รับเหมาก่อสร้างคุณภาพดีเริ่มหายาก อำนาจการต่อรองมีมากขึ้น ผู้รับเหมาจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะรับ

งาน กี่โครงการ กี่อาคาร กระทบต่อการวางแผนพัฒนาโครงการของดีเวลลอปเปอร์ เกิดการช่วงชิงผู้รับเหมา สิ่งที่

จะแก้ไขปัญหานี้ในอนาคตคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนแรงงาน"



นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า จากปัญหา

ขาดแคลนผู้รับเหมาก่อสร้าง ทั้งผู้รับเหมาคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่

ในปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้า จากที่วางแผนจะเปิด 2 โครงการใหม่ช่วงปลาย ปีนี้ อาทิ THE LINK สุขุมวิท 64 ก็ต้อง

เลื่อนไปปีหน้า



"ปัญหานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2  และเชื่อว่าในระยะยาวก็ยังแก้ได้ยาก ต่อไปการก่อสร้างโครงการคงต้อง

ใช้ระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปมากขึ้นเรื่อย ๆ":"เอพี"เลื่อนโอนคอนโด4เดือน



นายวิทการ จันทวิมล รองผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอป

เม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอพี กล่าวว่า ปัญหากรณีโครงการคอนโดมิเนียมแอสปาย พระราม 4 ต้องเลื่อนส่ง

มอบ จนทำให้เกิดปัญหาลูกค้าร้องเรียนนั้น ไม่ใช่ผลกระทบจากสถานการณ์ในปีนี้ แต่เป็นผลกระทบจาก

สถานการณ์ มหาอุทกภัยในช่วงไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา  วัสดุก่อสร้างหลายรายการขาดแคลน ทำให้

ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่สามารถก่อสร้างได้เลยนานกว่า 3 เดือน ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งมอบห้องชุดให้แก่

ลูกค้าล็อตแรกได้ในเดือน พ.ค.ปีหน้า หรือล่าช้าจากกำหนดเดิมราว 4 เดือน โดยบริษัทได้มีหนังสือชี้แจง เรื่องขอ

ขยายระยะเวลาก่อสร้างแก่ลูกค้าแล้ว



อย่างไรก็ดี  ปัญหาแรงงานขาดแคลน ผู้รับเหมา ยังเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกราย บาง

รายได้มีการปรับตัวโดยใช้วิธีผนึก "พันธมิตรระยะยาว" เพื่อดึงดูดทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและแรงงาน ให้

มั่นใจว่ามีงานทำต่อเนื่อง แต่สำหรับเอพี ยังคงใช้พันธมิตรผู้รับเหมา 4-5 ราย



"การเลื่อน เปิดโครงการจะดีกว่า การเปิดโครงการ 'ทั้งที่ไม่พร้อม  เพราะจะกระทบ ภาพลักษณ์บริษัท จาก

การผิดสัญญา กับผู้ซื้อ"


ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ 
วันที่: 30/10/2012