วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แรงงานก่อสร้างวิกฤติอัดฉีดโบนัส-จ้างประจำเพิ่ม



ภาคอสังหาฯ วิกฤตแรงงานขาดแคลนกว่า 4 แสนคน คนงานไหลกลับถิ่นฐานเดิม รับค่าแรงอัตราเดียว 300 บาท
หวั่นเจอปัญหาขายได้ สร้างไม่เสร็จ ผู้ประกอบรายใหญ่-กลาง-เล็ก แห่พึ่งระบบสำเร็จรูปเต็มรูปแบบ พร้อมอัดฉีด
เงื่อนไขพิเศษมัดใจผู้รับเหมา บิ๊กแบรนด์ "ล็อกผู้รับเหมา-สัญญาล่วงหน้า" ขณะที่  "เอพี" เล็งจ้างแรงงานประจำ
200-300 คน

แรงงานก่อสร้าง "ขาดแคลน" ยังเป็น ปัญหาใหญ่เข้าขั้นวิกฤติ สำหรับภาคอสังหา- ริมทรัพย์ เพราะแรงงาน
ในภาพรวมมีไม่พอต่อการขยายงาน เริ่มทวีความรุนแรงตั้งแต่ ปี 2555 จากหลายปัจจัยเข้ามาพร้อมกัน  ไม่ว่าจะ
เป็น ปัญหาแรงงานต่างด้าวเริ่มทยอยกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม โดยเฉพาะแรงงานพม่าที่กลับประเทศ หลังรัฐบาลมี
นโยบายส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเกิดขึ้นของโครงการทวาย

ประกอบกับผู้ประกอบการโหมขยายลงทุนโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปีผ่านมา รวมทั้งการ
ลงทุนภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ปีนี้ อาทิ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งต้องใช้
แรงงานจำนวนมาก และปัจจัยสุดท้าย การปรับค่าแรงอัตราเดียว 300 บาททั่วประเทศ ทำให้ปัญหาขาดแคลน
แรงงานใน "กรุงเทพฯ" ทวีความรุนแรงขึ้นอีก จากปัญหาแรงงาน "คืนถิ่น"

นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ประสบปัญหาขาดแคลน แรงงานขั้นวิกฤติ เนื่องจากเป็นการขาดแคลนเชิง
โครงสร้าง ประเมินขาดแคลนแรงงานภาคก่อสร้าง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีไม่ต่ำกว่า4-5 แสนคน จาก
ปัจจุบันมีแรงงานไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือขาดหนัก เพราะแรงงานทั่วไปสามารถหาจ้างได้ง่าย
หรือนำเข้าแรงงานต่างด้าวมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ปัจจุบันจากข้อมูลของกระทรวงแรงงาน พบว่า ในภาคการก่อสร้าง
มีการใช้แรงงานต่างชาติมากกว่า 2 แสนคน

ปัจจัยทำให้เกิดขาดแคลนแรงงานเชิงโครงสร้างเพราะปริมาณแรงงานที่เข้าสู่ระบบมีจำนวนน้อยลง ระบบ
การศึกษาได้พัฒนาจนเข้าถึงกลุ่มประชาชนมากขึ้น และก้าวสู่ระบบ

จ้างงานในองค์กรหรือธุรกิจต่างๆ เพิ่ม โดยเฉพาะ ในโรงงานอุตสาหกรรม ภาคบริการ โครงสร้าง เป็น
สังคมที่เป็นเมืองมากขึ้น ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ไม่ทำงานในกรุงเทพฯ เมื่อปรับค่าแรงแรงงานก็กลับถิ่นเดิม

"ปัญหาแรงงานต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ต หาดใหญ่ ปัญหารุนแรงไม่แพ้กัน

หรือแม้แต่อีสานเองยังนำเข้าแรงงานจากกัมพูชาและลาว รวมถึงเวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นปัญหา ที่รัฐควร
ให้ความสำคัญ" นายอิสระกล่าว

อย่างไรก็ดี พบว่าปัจจุบันบริษัทอสังหาฯ ได้ปรับตัว โดยนำระบบก่อสร้างแบบสำเร็จรูปหรือ พรีแฟบ
(Prefab) มาใช้มากขึ้นในทุกบริษัท คาดว่าบ้านเปิดขายใหม่ในตลาดจะเป็น พรีแฟบกว่า 50%ปีนี้เชื่อว่าจะมีการนำ
พรีแฟบไปใช้กับบ้านราคา 3-4 ล้านบาทมากขึ้น :กทม.-ปริมณฑลวิกฤติสุด

ด้านนายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า สมาคมฯ ได้สำรวจผลกระทบ และ
พื้นที่ที่เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในปีที่ผ่านมา พบว่า พื้นที่ใน กทม.และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง เข้า
ขั้นวิกฤต ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัด เช่น  ภาคใต้มีความรุนแรงแต่น้อยกว่า กทม.และปริมณฑล ส่วนภาคอีสานการ
ขาดแคลนแรงงานเป็นไปตามฤดูกาล ขณะที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบน้อยสุด เพราะมีแรงงานต่างด้าวไหลเข้า
และออกอยู่ตลอดเวลา

"รัฐต้องแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานจริงจัง ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องในไทยจำนวน
1.4 ล้านราย ขณะที่การสำรวจพบว่า มีแรงงานลักลอบเข้าเมือง ผิดกฎหมายในระบบมีสูงถึง 1.6 ล้านราย หรือ
มากกว่านั้น ภาครัฐควรเปิดเสรีขึ้นทะเบียน จ้างแรงงานต่างด้าวได้โดยอิสระ แทนการจำกัดการเปิดให้ขึ้นทะเบียน
แรงงานในแต่ละปีจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ได้อย่างมาก" :บิ๊กแบรนด์ล็อกผู้รับเหมา

นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการ
คอนโดมิเนียม บริษัท  แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแชมป์ในการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในปีที่
แล้ว ทั้งแนวราบและแนวสูงรวม 46 โครงการ กล่าวว่า การบริหารงานก่อสร้างของกลุ่ม แสนสิริ ในส่วนของ
คอนโดมิเนียม ปีนี้จะเปิด 24 โครงการ บริษัทใช้วิธีเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมารายใหญ่ 5 ราย อาทิ วิศวภัทร์ สี่พระ
ยาก่อสร้าง ฤทธา อาร์ทีเอช  คอนสตรัคชั่นไลนส์ เป็นต้น

นอกจากนี้ กลยุทธ์บริหารจัดการคือ จ่ายเงินตรงเวลา รวมทั้งสนับสนุนงบก่อสร้าง เพื่อให้โครงการแล้ว
เสร็จตามเวลา ทั้งล็อกวัสดุก่อสร้าง หรือการจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างล่วงหน้าให้ผู้รับเหมาก่อน ทำให้ผู้รับเหมา
สามารถควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างได้

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า จากที่พฤกษาฯ มียอดรอโอนปีนี้ 2.47 หมื่นล้านบาท คิดเป็นจำนวนยูนิตกว่า 1 หมื่นยูนิต แผน
บริหารไซต์ก่อสร้างมี 2 ส่วน 1.นำระบบ REM (Real Estate Manufacturing)  มาใช้ก่อสร้างบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์
ทุกไซต์ 100% กระบวนการจะเป็นโมเดลเดียวกับ ไลน์ผลิตของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์  ช่าง 1 ทีมรับผิดชอบ
งานเฉพาะส่วน เมื่อทำงานเฉพาะส่วนที่รับผิดชอบเสร็จ จะมีช่างชุดใหม่มาทำงานหมุนเวียนต่อทันที ที่สำคัญช่าง
จะมีความชำนาญเฉพาะด้านสูง :ผนึกเป็นพันธมิตรเจรจาราคาตรง

นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากภาวะการ
ขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง จะทำให้รูปแบบและเงื่อนไขจ้างเปลี่ยนไป เป็นลักษณะจ้างตรงกับบริษัทผู้รับเหมา
การเป็นพันธมิตรระยะยาว ส่วนรูปแบบประมูลงานคงไม่มีแล้ว เรียกว่าเป็นยุคทองของผู้รับเหมา

"วิกฤติแรงงานเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะกระทบทุกเซกเตอร์ การเปิดให้ผู้รับเหมา เข้ามาประมูลงาน
แข่งขันคงไม่มีแล้ว แต่จะเห็นการเป็นพันธมิตรระยะยาวมากกว่า เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ" นางเกษรา กล่าว

เช่นเดียวกับ ค่ายเอสซี แอสเสทฯ  ใช้จับมือเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมา เปลี่ยนจากประมูลแข่งขันมาเป็น
เจรจาราคาตรง และตกลงล่วงหน้า 6-8 เดือน ใช้วิธีประมาณราคาอ้างอิงแนวโน้มเงินเฟ้อ และเผื่อความเสี่ยงราคา
วัสดุ

ขณะที่ ค่าย แอล.พี.เอ็น. ปีนี้มีแผนสร้างคอนโดฯ 6-7 โครงการ ประมาณ 1.5 หมื่นยูนิต นอกจากการขยาย
ผู้รับเหมาหลักอีก 1 ทีม และเพิ่มแรงงานอีก 1,000 คน ยังเพิ่มเงื่อนไขจูงใจผู้รับเหมา คือ ถ้าทำงานเสร็จเร็ว
สามารถเบิกเงินงวดได้ทุก 7-14 วัน ถ้าสร้างเสร็จเร็วก่อนกำหนดและงานเรียบร้อยจะมีการเพิ่มโบนัสพิเศษอีก
ต่างหาก

ส่วนกลุ่มเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ฯ พบว่า กลยุทธ์สำคัญในปีนี้ ก็คือเตรียมจ้างแรงงานก่อสร้างตรงเป็น
พนักงานประจำประมาณ 200-300 คน เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนเป็นช่วงๆ เนื่องจากผู้รับเหมาที่ว่าจ้าง
อาจจะหันไปรับงานนอกโครงการก็มี
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ วันที่: 04/02/2013

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

ปอกเปลือก ปี 56 “บ้านต้นทุนใหม่”




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ย่างเข้าสู่ปี 2556 (ปีงูเล็ก) "ต้นทุน" ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ตัวแปรมี 2 เรื่องหลัก คือ
               1) ต้นทุนค่าก่อสร้าง ประกอบด้วย ค่าแรง-ค่าบริหารจัดการ และราคาวัสดุที่ปรับสูงขึ้น
               2) ต้นทุนที่ดิน โดยเฉพาะทำเลแนวรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างที่ปรับขึ้นรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาราคาบ้าน-คอนโดมิเนียมปรับขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% บวกลบ แล้วแต่ความสามารถควบคุมต้นทุนของผู้ประกอบการจากการสำรวจความคิดเห็นจาก 3 นายกสมาคมด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และนายกสมาคมอาคารชุดไทย พบว่าโครงการที่อยู่อาศัย ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดฯ วิเคราะห์ว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้นทุกตัว

++ทาวน์เฮาส์พุ่ง 1.3-1.5 ล้าน
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สำหรับตลาดทาวน์เฮาส์แนวโน้มมี 3 ปัจจัย ที่มีผลต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการใน ปี 2556 คือ
1) ราคาที่ดินที่ปรับขึ้นตามการประกาศใช้ราคาประเมินใหม่ของกรมธนารักษ์เมื่อกลางปี 2555
2) ต้นทุนค่าก่อสร้าง ค่าถมดิน ค่าสาธารณูปโภคในโครงการปรับตัวสูงขึ้น
3) ค่าจ้างผู้รับเหมาที่ปรับสูงขึ้นเนื่องจากแรงงานก่อสร้างขาดแคลน จะทำให้ทาวน์เฮาส์มีราคาขายสูงขึ้น

เปรียบเทียบปี 2555 ในพื้นที่กรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล อาทิ ตั้งแต่รังสิต คลอง 2 เป็นต้นไป คลองหลวง บางบัวทอง สมุทรสาคร ฯลฯ ยังพอพัฒนาทาวน์เฮาส์ ที่มีราคาขายเริ่มต้น 1 ล้านบาท บวกลบได้ โดยจะได้พื้นที่ใช้สอยประมาณ 80-100 ตารางเมตร บนที่ดิน 16-18 ตารางวา
ขณะที่แนวโน้มราคาทาวน์เฮาส์ในทำเลเดิมที่เปิดตัวใหม่ในปี 2556 จะต้องเริ่มต้นที่ยูนิตละ 1.3-1.5 ล้านบวกลบ โดยยังคงได้พื้นที่ใช้สอยและที่ดินใกล้เคียงของเดิม เนื่องจากการพัฒนาทาวน์เฮาส์ 2 ห้องนอน สามารถพัฒนาพื้นที่ใช้สอยได้เล็กที่สุดประมาณ 70 ตารางเมตร หรือชั้นละประมาณ 35 ตารางเมตร ส่วนขนาดที่ดินถูกบังคับโดยกฎหมายว่าจะต้องมีที่ดิน เริ่มต้น 16 ตารางวา
"คิดว่าค่อนข้างยาก ถ้าจะพัฒนา ทาวน์เฮาส์โดยใช้วิธีลดขนาดพื้นที่ใช้สอย ปรับสเป็กวัสดุ เพื่อให้ขายราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาทเท่าเดิม เพราะต้นทุนค่าก่อสร้างบ้าน 2 ชั้น 70 ตารางเมตร กับ 80 ตารางเมตร ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก" นายอิสระกล่าว

++บ้านเดี่ยวสตาร์ต 3 ล้านอัพ
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดบ้านเดี่ยวถือว่ามีต้นทุนพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เปรียบเทียบปี 2555 หากเป็นทำเลจังหวัดปริมณฑล เช่น ปทุมธานี (รังสิต-ลำลูกกา คลอง 7-10) สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี (บางบัวทอง, ไทรน้อย) ฯลฯ ยังพอหาบ้านเดี่ยวราคาต่ำที่สุด ราคาเริ่มต้น ที่ยูนิตละ 2.8-2.9 ล้านบาทได้ โดยจะได้บ้านเดี่ยว 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 110-120 ตารางเมตร ที่ดินขั้นต่ำตามกฎหมายคือ 50 ตารางวา
แต่สถานการณ์ราคาขายสำหรับปี 2556 จากต้นทุนพัฒนาโครงการที่ปรับขึ้น เชื่อว่า บ้านเดี่ยวจะคงขนาดพื้นที่ใช้สอยและที่ดินเท่าเดิม แต่ต้องปรับฐานราคาเริ่มต้นเป็น 3-3.1 ล้านบาท เนื่องจากการพัฒนาโครงการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น อาทิ ราคาวัสดุ ค่าแรง ต้องถมดินสูงขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องป้องกันน้ำท่วม ฯลฯ
ดังนั้น หากผู้ประกอบการไม่ต้องการปรับราคาขาย ก็จะต้องปรับมาพัฒนาบ้านแฝด หรือทาวน์เฮาส์ขายในราคาถูกลงแทน หรือต้องขยับทำเลออกไปไกลขึ้น หรือเข้าซอยไปลึกกว่าเดิม ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการด้วย

++คอนโดฯต่ำล้าน กทม.จ่อสูญพันธุ์
ขณะที่นายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ในเซ็กเตอร์ ตลาดคอนโดมิเนียม ต้นทุนการพัฒนาโครงการในปี 2556 จะถูกกดดันจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
1) การขาดแคลนผู้รับเหมา ก่อสร้างอาคารทำให้ค่าจ้างก่อสร้างปรับสูงขึ้นผิดปกติ และ
2) ร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ทั้งนี้ ประเด็นผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้เดือนพฤษภาคม 2556 มีแนวคิดให้ที่อยู่อาศัย
กระจายตัวออกสู่ รอบนอก ทำให้การพัฒนาคอนโดฯถูกจำกัดขนาดพื้นที่โดย FAR (Floor Area Ratio) หรืออัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อขนาดที่ดิน และขนาดความกว้างของถนนที่มีผลต่อขนาดพื้นที่อาคารที่จะก่อสร้างได้
                    ในแง่ทำเล นายธำรงค์กล่าวว่า เทียบปี 2555 ในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล ยังพอมีบริษัทเปิดตัวห้องชุดแบบสตูดิโอ-1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 21-28 ตารางเมตร ราคาต่ำสุดที่ยูนิตละ 8-9 แสนบาท เช่น ทำเลบางแคช่วงวงแหวนกาญจนาภิเษก บางกะปิ ลาดพร้าว 101 คลองหลวง ลำลูกกาคลอง 2 ฯลฯ
             ขณะที่ปี 2556 หากเป็นทำเลในกรุงเทพฯ เช่น บางแคช่วงวงแหวนกาญจนาภิเษก ลาดพร้าว 101 บางนา-ตราด กม.5-6 เป็นต้น ราคาเริ่มต้นน่าจะต้องขยับขึ้น เป็น 1 ล้านบาท ยกเว้นเป็นทำเลปริมณฑล เช่น สมุทรปราการ ฯลฯ ที่ผังเมืองรวม ยังไม่ได้นำเรื่อง FAR มาบังคับใช้ ก็อาจจะยังพอทำคอนโดฯ พื้นที่ใช้สอย 22-28 ตารางเมตร ขายในราคาเริ่มต้น 8-9 แสนบาทได้

++แลนด์ชี้ต้นทุนขยับขึ้น 7-8%

สุดท้าย นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการคำนวณต้นทุนพัฒนาโครงการในปี 2556 พบว่าต้นทุนมีแนวโน้มจะปรับขึ้นจากเดิม 7-8% มาจากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ใน ทางกลับกันคงจะทยอยปรับขึ้นราคาบ้าน ได้ประมาณ 5% บวกลบ ส่วนที่เหลือ ผู้ประกอบการคงต้องแบกรับภาระบางส่วนไว้เอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักนอกจากต้นทุนปรับขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องของแรงงานก่อสร้างที่ประสบปัญหาขาดแคลน คาดว่าจะเห็ผู้ประกอบการในตลาดหลายรายหันมาใช้ระบบก่อสร้างแบบหล่อชิ้นส่วนสำเร็จรูปจาก โรงงานมาติดตั้ง (พรีแฟบ) กันมากขึ้น เพื่อลดการใช้แรงงาน และก่อสร้างบ้านได้เร็วกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนก่อสร้างบ้านได้อีกแนวทางหนึ่ง

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ
วันที่: 03/01/2013

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เปิดแผน อสังหาสู้ศึกชิงผู้รับเหมาผูกขาดสัญญายาว-รวบทั้งโปรเจค


วิกฤติขาดแคลนแรงงานและ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกในปีหน้า ส่งผลให้บริษัทอสังหาฯทุกระดับ ต้องวางแผนรับมือ ทั้งทบทวนแผนการลงทุน หรือเน้นการเปิดโครงการขนาดเล็ก 100 ยูนิต  ขณะที่รายใหญ่ อาจใช้การว่าจ้างแบบเหมารวมหลายๆโครงการ รวมถึงการทำสัญญาระยะยาว เพิ่มความคล่องตัวบริหารแรงงาน-ต้นทุน- ส่งมอบงาน

อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท  แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แชมป์เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดในปีนี้ 60 โครงการ กล่าวถึงการบริหารงานก่อสร้างในส่วนของคอนโดมิเนียมว่า จะใช้วิธีการกระจายงานไปยังผู้รับเหมาหลายราย ปัจจุบันนอกจากจะมีผู้รับเหมารายใหญ่เข้ามารับงาน   6 บริษัทแล้ว ยังใช้รูปแบบการเหมารวมหลายโครงการผู้รับเหมา ตั้งแต่ 3 โครงการไปจนถึง  5 โครงการแล้วแต่ศักยภาพ ซึ่งล่าสุดเพิ่งสรุปมูลค่าการก่อสร้างกว่า 4,000 ล้านบาทกับผู้รับเหมารายใหญ่ไป          "วิกฤติแรงงานเป็นปัญหาใหญ่มานาน แต่เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะปีหน้าจะเห็นภาพการแย่งชิงตัวผู้รับเหมามากขึ้น"อย่างไรก็ดี บริษัทมีสินค้าขายรอการส่งมอบให้กับลูกค้า (Back log) มูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ตกลงราคากับผู้รับเหมาสำหรับโครงการที่เปิดขายไปแล้วกว่า 99%เหลือเพียงโครงการเดียวยังไม่เลือกผู้รับเหมา

ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า นอกจากต้องนำเทคโนโลยีก่อสร้างเข้ามาใช้ทดแทนแรงงานฝีมือแล้ว กลยุทธ์ที่จะเห็นมากขึ้นในปีหน้า คือ การจับมือเป็นพันธมิตรมากขึ้นระหว่างบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ กับบริษัทผู้รับเหมารายใหญ่ โดยมองว่าผู้ประกอบการจะอยู่ตามลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้รับเหมาก่อสร้าง    "ในปีหน้าการแพ้-ชนะของธุรกิจนี้ ไม่ใช่เรื่องของการขายได้ เพราะหากโอนไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์  แต่จะแข่งเรื่องการบริหารงานก่อสร้างทำอย่างไรให้โอน และส่งมอบโครงการได้ตามกำหนด รวมถึงการควบคุมคุณภาพได้ด้วย จะเห็นภาพของการแย่งชิงผู้รับเหมารุนแรงขึ้นในปีหน้า"

อิสระ บุญยัง นายกสมาคมบ้านจัดสรรไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า การบริหารด้านการผลิตของบริษัทแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง โดยทุกโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง และทุกทำเล จะใช้ระบบพรีแฟบทั้งหมดในปีหน้า ซึ่งช่วยลดการใช้แรงงานลงได้ถึง 50% ปัจจุบันบริษัทได้ลานผลิตพรีแฟบอยู่ 3 แห่ง ที่ ถ.พระราม 2 ,ถ.ประชาอุทิศ และจ.ภูเก็ต

รวมถึงการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ซึ่งได้มีการเซ็นเอ็มโอยูกับพม่าไปแล้ว ในการนำเข้าแรงงานเพิ่ม 400 คน ตอนนี้นำเข้ามาแล้ว 240 คน ใช้ในลานผลิตพรีแฟบต่างๆ และเพิ่งเริ่มให้ผู้รับเหมามาขึ้นทะเบียนแจ้งวัตถุประสงค์การใช้แรงงานต่างด้าว โดยบริษัทจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ เพราะผู้รับเหมารายเล็กๆ อาจจะไม่เข้าใจกระบวนการนำเข้าแรงงาน  นอกจากนี้จะนำวัสดุสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้น เช่น โครงสร้างหลังคา ประตู และวงกบแบบติดตั้งได้เลย ทำให้บริษัทวางแผนเรื่องเวลาได้
ด้าน วสันต์ เคียงศิริ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ปัญหาการขาดแคลนแรงงานส่งผลให้งานก่อสร้างล่าช้าตามไปด้วย ในขณะที่ยอดขายบ้านเติบโตสวนทางกับงานก่อสร้าง บริษัทจึงหันมาเน้นการเพิ่มพอร์ตบ้านดาวน์ หรือบ้านสั่ง สร้างเพื่อรับมือและแก้ปัญหางานก่อสร้างที่ล่าช้า และยังช่วยเพิ่มกำลังซื้อลูกค้า แก้ปัญหาลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อให้ลดลงไปด้วย
ขณะที่ วิโรจน์ เจริญตรา กรรมการ ผู้จัดการ บมจ.พรีบิลท์ กล่าวว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีคุณภาพ ส่งผลให้ลักษณะตลาดรับเหมาก่อสร้างเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ผู้รับเหมาต้องประมูลงาน กลายเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มาเสนองานให้ และบางบริษัทเจรจาเป็นพันธมิตรรับเหมาระยะยาว เพื่อความมั่นใจว่าโครงการจะเดินหน้าได้ตามแผนงาน

อสังหาฯปีหน้าค่าแรงงานต่อหัวจ่อขึ้น 40% - 50%



นางสาวเกษรา ธัญ- ลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ในปี 2556 ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังประสบปัญหาเรื่องของแรงงานขาดแคลนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อีกทั้งค่าแรงมี แนวโน้มปรับขึ้น โดยคาดว่าค่าแรงต่อหัวจะปรับขึ้นอีก 40-50% ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้นทุนวัสดุในช่วงที่ผ่านมายังมีแนวโน้มทรงตัวโดยเฉพาะเหล็กและปูน จึงทำให้ในภาพรวมต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นเพียง 5-10% เท่านั้น ทำให้ราคาบ้านต้องปรับขึ้น 5-10% เช่นกัน ทั้งนี้ ในปี 2556 คาดว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯน่าจะดีกว่าปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกสนับ สนุนหลายอย่าง ปัจจัย ที่น่าจะส่งเสริมมากที่สุดคือการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการขนาด ใหญ่ อาทิ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระบบป้องกันน้ำท่วม โครงการรถไฟความเร็วสูง และปัจจัยทางจิตวิทยาต่อการที่น้ำไม่ท่วมในพื้นที่ กทม. และ ปริมณฑลในปีนี้ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในสภาวะทรงตัว




ที่มา: โลกวันนี้
วันที่: 26/12/2012

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แรงงานขาดป่วนตลาดรับสร้างบ้านขาใหญ่ยกเลิกบ้านถูกหันรับงานหลังใหญ่ 10 ล้านขึ้น


ดร.พัชรา ตัณฑยรรยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีนบุรีรับสร้างบ้าน จำกัด ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจรับสร้าง
บ้าน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากภาวะขาดแคลนแรงงานวงการรับสร้างบ้าน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาตั้งแต่
ต้นปีนี้ จะมีผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกสมาคม หลายรายต้องชะลอการรับงาน
เนื่องจากมีแรงงานจำกัด ขณะนี้จึงพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องปรับกลยุทธ์การรับลูกค้าใหม่ หันมาเลือกรับ
ลูกค้า ที่ต้องการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่ให้มากขึ้น

แรงงานขาด วิกฤตหนัก สำหรับบริษัทปีนี้ได้งดนำเสนอบ้านหลังเล็กราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาท และหันมาเน้น
บ้านหลังใหญ่ราคา 5-6 ล้านบาทมากขึ้น ขณะที่ปีหน้าได้วางนโยบายมุ่งพัฒนา แบบบ้านหลังใหญ่ราคาตั้งแต่ 10
ล้านบาทขึ้นไป

ดร.พัชรากล่าวว่า นโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท นำร่อง 7 จังหวัดตั้งแต่ต้นปี ไม่ได้ช่วย
ให้มีแรงงานเข้าสู่ภาคการก่อสร้างเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกันผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนใหม่ ส่งผลให้
ราคาบ้านในปีนี้ปรับขึ้นเฉลี่ย 5-8%

"ตั้งแต่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้เป็นช่วงที่มีปัญหาเรื่องแรงงานมากที่สุด เรียกว่า เข้าขั้นวิกฤตก็ว่าได้ และ
เป็นอุปสรรค สำคัญที่สุดที่ทำให้ภาพรวมของธุรกิจ ไม่เติบโตขึ้น"

งดรับสร้างบ้านต่ำ 8 ล้านนายฐกร นิติปัญญาวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมก้า กรุ๊ป จำกัด และเลขาธิการ
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ปัญหาแรงงานที่มีจำกัด ส่งผลกระทบต่อการ รับลูกค้าใหม่ตลอดทั้งปี เพราะ
สามารถ รับงานได้ไม่เกิน 15-16 หลัง ก่อนหน้านี้บริษัทจำเป็นต้องลงประกาศข้อความในเว็บไซต์บริษัท แจ้งขอ
อภัยที่ต้องยกเลิกปลูกสร้างบ้านราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาททั้งหมด ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องหันไปเน้นการ รับงาน
สร้างบ้านหลังใหญ่ ราคาเฉลี่ย 10-30 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทมียอดขายเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 10-15%

ขณะที่ในปีนี้ได้ปรับราคาบ้านไปแล้ว 5-8% ปีหน้าคาดว่าจะต้องปรับราคาอีกประมาณ 5%

"ทุกบริษัทเดือดร้อนเหมือนกันหมด สำหรับไมก้าถ้าลูกค้าเซ็นสัญญาสร้างบ้านเดิมรอ 1 เดือน แต่วันนี้
ยอมรับว่าประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้าจึงจะเริ่มสร้างได้เพราะมีปัญหาจริง ๆ ขณะเดียวกันก็
พยายามรั้งแรงงานฝีมือที่เก่งไว้ อย่าง ช่างปูน เราอยากจ้างคนเดียว แต่มีภรรยาติดมาด้วย เราก็ให้เลย 2 คน 1 พัน
บาทเพื่อจูงใจ จากสมัยที่ไม่ขาดแคลนแรงงานเราจ้างคนเดียว 400 บาทก็ได้แล้ว" นายฐกรกล่าว

>>ปรับแผนอุตลุด เน้นบ้านใหญ่

นายสมพงษ์ กิติมหาคุณ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เดอะโมเดอร์นกรุ๊ป เรียลพร็อพเพอทิ จำกัด กล่าวว่า การ
ปรับตัวคือหันมาเน้นรับลูกค้าปลูกสร้างบ้านหลังใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านราคา 2-3 ล้านบาท จะงดรับงานเลย
ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยบ้านที่ รับงานจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10 ล้านบาท ปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทในเครือคือ "ทรอปิคอล ซีรีส์เฮ้าส์" ที่รับสร้างบ้านระดับกลางล่าง จากเดิมเคยรับบ้านราคา
เริ่มต้นกว่า 1-2 ล้านบาท ปีนี้หันมารับงานราคาประมาณ 3 ล้านบาทบวกลบทั้งหมด

ห่วงแรงงานคืนถิ่น นายธีระศักดิ์ บุญวาสนา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อยุธยารับสร้างบ้าน จำกัด เปิดเผยว่า
บริษัทมีแรงงานจำกัดอยู่กว่า 100 คน ทำให้ปีนี้รับงานได้จำกัดไม่เกิน 15 หลัง ทางออกคือต้องเน้นการรับงานหลัง
ใหญ่ขึ้นคือเป็นบ้านราคา 10 ล้านบาทบวกลบ จากปีที่ผ่านมาเฉลี่ยไม่เกิน 8-9 ล้านบาท

นายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เอ็มเพอร์เร่อเฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยว่า หากรัฐบาลไม่
สามารถนำเข้าแรงงานเพิ่มเติมขึ้นได้ เป็นห่วงว่าในปีหน้าปัญหาแรงงานขาดแคลนในพื้นที่กรุงเทพฯ จะรุนแรง
ขึ้นอีก เนื่องจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ วิเคราะห์ว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาแรงงานคืนถิ่น
เนื่องจากอยากกลับไปทำงานที่บ้านเกิด ประกอบกับได้ค่าแรงเท่ากัน
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ วันที่: 26/11/2012 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บ้านต่ำล้านใกล้สูญพันธุ์ต้นทุนพุ่งบีบอีก3ปีสร้างไม่ไหวเตือนปีหน้าราคาบ้านขึ้นอีก 5%


นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท กล่าวว่า
ปัจจุบันบ้าน

ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีสัดส่วนอยู่เพียง 10% ของบ้านที่เปิดขายทั้งหมด ลดลงจาก 5 ปีที่แล้ว ที่มีสัดส่วน
อยู่ประมาณ 30% เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นทุกปี และคาดว่า ใน 2-3 ปีข้างหน้าจะไม่สามารถพัฒนาบ้าน
ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทได้อีกแล้ว

"ปัจจุบันบ้านและคอนโดมิเนียมราคาต่ำที่สุดที่บริษัทเปิดขายราคาอยู่ที่ 9 แสน-1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วน
น้อยมาก เมื่อเทียบกับ5 ปีที่แล้ว ที่มีสัดส่วน 30% แต่บ้านราคาต่ำกว่า1 ล้านบาท จะยังคงมีขายอยู่อีก 2-3 ปี ซึ่งคาด
ว่าต้นทุนจะทำราคาบ้านให้ต่ำกว่า 1 ล้านบาทไม่ได้แล้ว" นายทองมา กล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดในปีหน้าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อจากการปรับค่าจ้าง จะทำให้ต้นทุนบ้านเพิ่มขึ้นอีกซึ่งจะ
ทำให้ราคาบ้านปรับขึ้นไปอีก 5% ขณะเดียวกันผู้บริโภคเองก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มที่ขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ บริษัท
จึงพยายามบริหารจัดการด้านต้นทุน เพื่อปรับราคาบ้านให้ขึ้นไม่เกิน 2-3% ให้สอดรับกับกำลังซื้อในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งคาดว่าตลาดจะ
ขยายตัวเกิน 10% เช่นเดียวกับปีนี้ที่ตลาดจะเติบโตเกิน10% โดยคอนโดมิเนียมจะยังเป็นตัวนำตลาดที่มีสัดส่วนสูง
เกินกว่า50% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า ที่คาดว่าจะโตได้ถึง 6-7% แม้ว่าจะมีปัญหา
เศรษฐกิจโลกเข้ามากระทบภาคส่งออก แต่ก็ยังขยายตัวอยู่

นายทองมา กล่าวอีกว่า ในปีนี้แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้มียอดขายสูงสุดก็ไม่เป็นไร เพราะรายได้และกำไรของ
บริษัทก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยใน 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้รวม 1.8 หมื่นล้านบาท
เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ2,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.27% และคาดว่าถึง
สิ้นปีจะมีรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 2.6 หมื่นล้านบาท

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท กล่าวว่า
บริษัทมียอดขายในรอบ 9 เดือนรวมทั้งสิ้น 2 หมื่นล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่
ประสบปัญหาน้ำท่วม แต่ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว และคาดว่าจนถึงสิ้นปีจะทำยอดขายได้ตามเป้าที่ตั้ง
ไว้ 2.9 หมื่นล้านบาท

ด้านแผนปีหน้าจะเปิดโครงการใหม่ใกล้เคียงกับปีนี้ คือประมาณ 34 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 3.5 หมื่นล้าน
บาทมีรายได้รวม 3.4 หมื่นล้านบาท
ที่มา: โพสต์ทูเดย์ วันที่: 14/11/2012


แห่ใช้เทคโนฯสร้างบ้านไว อสังหาฯหันพึ่งนวัตกรรมแก้เกมแรงงานขาด

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า
บริษัทได้มีการปรับใช้ระบบ เสา คาน และพื้นสำเร็จรูปจากโรง งานมาติดตั้งที่หน้างานแทนการก่อสร้างด้วย
แรงงานคนทั้งระบบ ในส่วนของโครงการบ้านเดี่ย วอควา ดิวิน่า บาย สัมมากร รามคำแหง 94 ระดับราคา 5-20
ล้านบาทซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่ใช้ระบบการก่อ สร้างสำเร็จรูปเพื่อช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้าง

"การก่อสร้างด้วยระบบดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น บ้านเดี่ยวหนึ่ง
หลัง หากใช้การก่อสร้างแบบเดิมต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนถึงจะแล้วเสร็จ แต่เมื่อใช้การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป เรา
สามารถควบคุมงานให้แล้วเสร็จภายใน 5 เดือน แม้ว่าต้นทุนการก่อสร้างจะไม่ได้ลดลงมาก แต่ก็ช่วยในเรื่องของ
การส่งมอบงานให้กับลูกค้าทันเวลา ซึ่งในอนาคต สัมมากร อาจนำระบบนี้ไปใช้กับโครงการอื่นในอนาคต หาก
ปัญหาแรงงานยังรุนแรงเหมือนดังเช่นปัจจุบัน" นายกิตติพล กล่าว

     สอดรับกับนายศักดา โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า การขาดแคลนแรงงาน
ก่อสร้าง ขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาหนัก แต่ยังไม่ถึงทางตัน สำหรับบริษัทยังไม่มีนโยบายนำระบบกึ่งสำเร็จรูปมาใช้
แต่ปรับกระบวนการก่อสร้างใหม่ ลดระยะเวลา เช่น สร้างโรงงานขนาดย่อมขึ้นเอง เพื่อตัดเหล็กและส่งไปหน้า
งาน, ใช้เครื่องพ่นฉาบปูน, ใช้พื้นไม้ลามิเนตแทนไม้ปาร์เกต์, ใช้โครงหลังคาสำเร็จรูป ฯลฯ ในภาพรวมหากเป็น
บริษัทที่ปลูกสร้างบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาท อาจจะเริ่มทยอยเปลี่ยนมาใช้เสา-คานสำเร็จรูปมากขึ้น

>>SCG-HEIM ผลตอบรับดี

นายพิชิต ไม้พุ่ม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และกรรมการบริษัท เอสซีจี-เซกิซุย
เซลล์ จำกัด เปิดเผยว่า บ้าน SCG-HEIM ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งดีเวลอปเปอร์และลูกค้ารายย่อย หลัง
เปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2552 ปัจจุบันบริษัทได้ทุ่มงบประมาณราว 2,000 ล้านบาท ในการเตรียมขยายพื้นที่
โรงงานการผลิตเดิม ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมหนองแคเพิ่มเป็น 200 ไร่ และใช้เทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์มา
ช่วยในการผลิต ส่งผลให้โรงงานมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หลังต่อปี จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียง 200
หลังต่อปีคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเริ่มรับรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบ้าน SCG-HEIM มากขึ้น ดีเวลอป
เปอร์เองก็หันมาใช้เทคโนโลยีดังกล่าวกับโครงการของตัวเองมากขึ้นเช่นกัน เพราะช่วยลดปัญหาต่างๆ ตั้งแต่
ขั้นตอนการก่อสร้างจนถึงการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า ปัญหางบบานปลาย หรือปัญหาที่
เกี่ยวกับการอยู่อาศัย

สำหรับราคาบ้าน SCG-HEIM ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งในปี 2556 บริษัทจะผลิตบ้านที่มีราคา
4-5 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายผลิตบ้าน SCG-
HEIM เพื่อการส่งออก โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต" นายพิชิต กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัทชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาแบบโครงการบ้านสีตวัน
ปากช่องเขาใหญ่ โครงการบ้านเดี่ยวแห่งนวัตกรรมบนพื้นที่กว่า 27 ไร่ เพื่อความเป็นอยู่ที่มั่นใจในความปลอดภัย
คงทนในทุกสภาพอากาศด้วยกระบวนการก่อสร้างที่ทันสมัยตั้งแต่ฐานรากจดหลังคา มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้าน
บาท ราคาเริ่มตั้งแต่ 11-21 ล้านบาท

>>แสนสิราชาพราคาสต์ช่วยดันยอด

รายงานข่าวจาก บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากใช้ระบบพรีคาสต์ในการก่อสร้าง
โครงการต่างๆของบริษัท ภายใต้แบรนด์ ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ ส่งผลให้บริษัทสามารถเปิดตัว
โครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มจากเดิม 44 โครงการ เป็น 50 โครงการ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถ
สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากเป้าที่ตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท เป็น 4 หมื่นล้านบาท หากสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้ง
ใหม่ไว้จะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% กำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 52,000 ตร.ม. ต่อเดือนหรือประมาณ 
150 หลังต่อเดือน

ทั้งนี้การก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสต์ทำให้เกิดความแม่นยำในการกำ หนดขนาดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว
ประ หยัดเวลาและลดระยะเวลาการก่อสร้าง จากเดิมที่ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านเดียวประมาณ 6-9 เดือน
เป็น 75-80 วันเท่านั้น รวมถึงช่วยลดการพึ่งพาแรงงานมีฝีมือ เนื่องจากไม่ต้องใช้การฉาบปูน ส่งผลให้ปัจจุบัน
แสนสิริใช้แรงงานต่อ 1 ไซต์งานเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างด้วยระบบเดิม ซึ่งทำให้
สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นอีกด้วย

>>ยิปซัมตราช้างจับมือดีเวลอปเปอร์

นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด
กล่าวว่า ผมได้คุยกับผู้รับเหมาและดีเวลอปเปอร์บิ๊กเนมในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายพูดตรงกันว่าวันนี้แรงงาน
ค่อนข้างหายาก เช่น ช่างฉาบที่มีฝีมือ เราได้นำเสนอกับเจ้าของหมู่บ้าน 2-3 บริษัท ให้ใช้ยิปซัมแทนผนัง เพราะ
ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว โดยบริษัทได้ร่วมกับเจ้าของหมู่บ้านพัฒนาผนังบ้านเพื่อตอบโจทย์ปัญหาแรงงานขาดแคลน
แถมยังได้งานที่เรียบไม่มีรอยร้าว ซึ่งปัจจุบันในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ผนัง
ภายในใช้ยิปซัมเกือบ 100% ไม่ต้องก่ออิฐฉาบปูนซึ่งใช้เวลาเรียงอิฐทีละก้อน และแรงงานก็หายาก
ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ 
วันที่: 11/11/2012